ข้าวนาโรงเรียนอายุ 7 สัปดาห์ โดยทั่วไปข้าวเจริญเติบโตดี ยกเว้นแปลงที่ 3 ที่สีของต้นข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง บางบริเวณสีเขียวอมเหลือง น้ำแห้งลงมากกว่า 15 เซ็นติเมตรในท่อตรวจวัดระดับน้ำ ซึ่งสัปดาห์นี้จะทำการหว่านปุ๋ยครั้งสุดท้ายทั้ง 2 นาแล้วจึงจะสูบน้ำเข้านา นาโรงเรียนจะจัดกิจกรรมผู้ปกครองอาสาถอนหญ้าในแปลงนาในวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคมนี้
เก็บข้อมูลวันพุธที่ 28 สิงหาคม 2556
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ข้าวนาเช่าเริ่มตั้งท้องและออกรวง
การตรวจแปลงนาในวันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2556 ตรวจพบข้าวสินเหล็กออกรวงราวสิบกว่าต้นโดยพบออกรวงมากในแปลงที่ 10 พบบ้างในแปลงที่ 7, 8, 9, 11 และ 12 และพบข้าวสินเหล็กทุกแปลงเริ่มตั้งท้องแล้ว โดยข้าวที่พบการออกรวงมี 4 ลักษณะ คือ
1. ข้าวสินเหล็กแบบที่ 1 ต้นข้าวมีกาบใบสีม่วงแดง มีหูใบ(auricle) หรือเขี้ยวกันแมลงและลิ้นใบ(ligule) หรือเยื่อกันน้ำฝนสีขาว เมล็ดข้าวสีเขียว ปลายเมล็ดสีม่วงแดงเข้มถึงดำ
2. ข้าวสินเหล็กแบบที่ 2 ต้นข้าวมีกาบใบสีเขียว มีหูใบ(auricle) หรือเขี้ยวกันแมลงและลิ้นใบ(ligule) หรือเยื่อกันน้ำฝนสีม่วงแดง เมล็ดข้าวสีม่วงแดง ปลายเมล็ดสีม่วงแดงถึงดำ
3. ข้าวที่มีต้นข้าวสีเขียว กาบใบสีเขียว ให้เมล็ดสีเขียวทั้งเมล็ด
4. ข้าววัชพืช ที่จะต้องกำจัดออกจากแปลงนา ต้นสูงกว่าข้าวทั่วไป เมล็ดข้าวสีเขียวมีหางยาวหรือสั้น
ข้าววัชพืช คืออะไร ต่างกับข้าวทั่วไปอย่างไร
ข้าวที่ชาวนาใช้ปลูกทั่วไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa L. ใช้ปลูกในประเทศไทยมากกว่า 100 พันธุ์ เรียกในที่นี้ว่าข้าวปลูก เป็นพันธุ์ข้าวที่ถูกคัดเลือกให้มีลักษณะที่ต้องการเช่นผลผลิตสูง ข้าวสารมีสีขาว ใส คุณภาพหุงต้มนุ่มและหอม ไปจนถึงร่วนแข็ง ต้านทานต่อโรคหรือแมลงที่สำคัญ ข้าวพันธุ์หนึ่งจะมีลักษณะทางการเกษตรต่างๆ เหมือนกันและคงตัว คือในพันธุ์เดียวกันจะมีลักษณะ สีใบ ทรงกอ ความสูง การออกรวง สีเปลือก สีข้าวกล้อง เหมือนกันและคงตัว และทุกพันธุ์จะมีลักษณะสำคัญคือเมล็ดจะสุกแก่ใกล้เคียงกันคือหลังบานดอกแล้ว ประมาณ 28-30 วัน พร้อมที่จะถูกเก็บเกี่ยวและถูกนวดให้หลุดจากรวง คือจะไม่สุกแก่ก่อนเวลาไม่หลุดร่วงเองได้ง่ายๆ และข้าวเปลือกจะไม่มีหางหรือถ้ามีก็จะสั้นมาก
ข้าวป่าเป็นบรรพบุรุษของข้าวที่ใช้ปลูกใน ปัจจุบัน เป็นข้าวอีกชนิดหนึ่งที่มีตามธรรมชาติทั้งในที่ลุ่มลึกและบนที่ดอน ข้าวป่ามีหลายชนิดและที่มีความสำคัญและคาดว่าจะเป็นเชื้อพันธุ์ของข้าว วัชพืชมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryza rufipogon Griff. ข้าวป่าแม้จะสามารถแบ่งเป็นหลายชนิด ในแต่ละชนิดจะมีหลายลักษณะ แต่มีลักษณะสำคัญหลายประการที่มีในข้าวป่าทุกชนิดคือ เมล็ดในรวงเดียวกันสุกแก่ไม่พร้อมกันตั้งแต่ 9-30 วัน เมื่อสุกแก่ก็จะหลุดร่วงได้เอง เมล็ดมีระยะพักตัวหลากหลายตั้งแต่ไม่มีระยะพักตัวไปจนถึงระยะพักตัวหลายปี เมล็ดข้าวเปลือกและข้าวกล้องของข้าวป่าจะมีหลากหลายสี เมล็ดอาจมีหางยาวมากกว่า 10 เท่าตัวของเมล็ด และมีหลายสี
“ข้าววัชพืช” มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า weedy rice เป็นวัชพืชชนิดหนึ่งที่กำลังระบาดอย่างรุนแรงในนาภาคกลางจนถึงภาคเหนือตอนล่าง มีลักษณะเหมือนต้นข้าวจนแยกไม่ออกในระยะกล้า มีชื่อเรียกต่างๆกันไปในแต่ละท้องถิ่นตามลักษณะของข้าววัชพืชที่ปรากฏเช่น ข้าวหาง เนื่องเมล็ดมีหางยาว ข้าวดีด ข้าวเด้ง เนื่องจากเมื่อเมล็ดแก่ และถูกลมพัดหรือคนไปสัมผัส เมล็ดจะร่วง ข้าวลาย เนื่องเมล็ดมีเปลือกลาย ข้าวแดง เนื่องจากเมื่อแกะเมล็ดจะพบว่าเมล็ดข้าวกล้องมีสีแดง ดาวกระจาย เนื่องจากลักษณะรวงจะกางออกและเมื่อเมล็ดแก่จะร่วงและกระจายไปรอบๆ เป็นต้น เคยระบาดในประเทศไทยที่จังหวัดสงขลานครศรีธรรมราช ปราจีนบุรี และพิษณุโลกในปี 2518 ความเสียหายที่จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ผลผลิตลดลงมากกว่า 80% แต่ก็มีการจัดการได้ซึ่งสมัยนั้นโดยการเผาฟาง เปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ การเขตกรรมโดยการไถล่อข้าววัชพืชหลายครั้ง เนื่องจากชาวนายังทำนาปีละ 1 ครั้งเท่านั้น และพบการระบาดรุนแรงอีกครั้งเมื่อปี 2544 ที่จังหวัดกาญจนบุรี จนถึงปัจจุบัน ข้าววัชพืชขยายวงกว้างของการระบาดออกไปเรื่อย ๆ จากการสำรวจข้อมูลการระบาดของข้าววัชพืชในฤดูนาปี 2550 พบการระบาดในพื้นที่นาของประเทศไทยถึง 19.2 ล้านไร่
ความแตกต่างของ ข้าวปลูก ข้าวป่า และข้าววัชพืช
ข้าววัชพืชเกิดขึ้นได้อย่างไร
จากการศึกษาของหลายหน่วยงานพบว่า ข้าววัชพืชเกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวป่าธรรมชาติ (O. rufipogon L.) กับข้าวปลูก และมีการกระจายตัวของลูกหลานออกเป็นหลายลักษณะ โดยอัตราการผสมข้ามระหว่างข้าวปลูกกับข้าวป่า และระหว่างข้าวปลูกกับข้าววัชพืช ลูกผสมที่กระจายตัวและเจริญแพร่พันธุ์ในแปลงปลูกมีลักษณะส่วนใหญ่ไม่เป็นที่ ต้องการของชาวนา
การจำแนกข้าววัชพืช
สามารถจำแนกตามลักษณะภายนอกของข้าววัชพืชได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
- 1. ข้าวหางหรือข้าวนก
คือข้าววัชพืชที่มีลักษณะเมล็ดข้าวเปลือกสีดำหรือสึน้ำตาลเข้ม มีหางยาว หางอาจจะมีสีแดงหรือขาวในระยะข้าวยังสด เมล็ดร่วงก่อนเก็บเกี่ยว สีของเยื่อหุ้มเมล็ดมีทั้งแดงไปจนถึงขาว
- 2. ข้าวแดงหรือข้าวลาย
คือข้าววัชพืชที่มีลักษณะสีข้าวเปลือกมักมีสีเข้มไปจนถึงลายสีน้ำตาลแดง เมล็ดข้าวเปลือกส่วนใหญ่ไม่มีหาง เมล็ดมีทั้งร่วงและไม่ร่วงก่อนเก็บเกี่ยว แต่สีของเยื่อหุ้มเมล็ดส่วนใหญ่มีสีแดง
- 3. ข้าวดีดหรือข้าวเด้ง
คือข้าววัชพืชที่มีลักษณะร่วงง่ายและร่วงเร็วโดยทยอยร่วงตั้งแต่หลังบานดอก 9 วันเป็นต้นไป เมล็ดข้าวเปลือกส่วนใหญ่มีหางสั้นหรือไม่มีหาง ข้าวเปลือกส่วนใหญ่มีสีเหลืองฟาง สีของเยื่อหุ้มเมล็ดมีทั้งแดงและขาว
สาเหตุการแพร่ระบาดของข้าววัชพืช
การแพร่ระบาดของข้าววัชพืช มาจากสาเหตุ 5 ประการ คือ
1. ติดมากับเมล็ดพันธุ์ข้าวเนื่องจากเกษตรกรใช้พันธุ์ข้าวจากแหล่งไม่มีคุณภาพ ในรอบ 1 ปี ชาวนามีความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณกว่า 1 ล้านตัน แต่หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ได้มาตรฐานได้ไม่เกิน 15 % ของความต้องการของชาวนาเท่านั้น อีก 85 % ชาวนาจำเป็นต้องเสี่ยงในการหาซื้อเมล็ดพันธุ์เองตามร้านค้าและแหล่งผลิต เอกชน ซึ่งอาจจะไม่ได้มาตรฐานและมีเมล็ดข้าววัชพืชติดมาด้วย
2. ติดมากับอุปกรณ์ในการทำนา เครื่องมือเตรียมดิน, เก็บเกี่ยวหรือภาชนะบรรจุข้าว โดยเฉพาะรถเกี่ยวนวดข้าว เมื่อไปเกี่ยวข้าวในแปลงที่มีการระบาดของข้าววัชพืชรุนแรง เมล็ดข้าวที่ติดมากับรถเกี่ยวนวด มีจำนวนประมาณ 2-5 ถัง ซึ่งมีโอกาสที่เมล็ดข้าววัชพืชติดมาด้วย และมาร่วงหล่นในนาแปลงใหม่ที่รถเกี่ยวนวดข้าวลงทำงาน
3. ติดมากับปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ที่ผลิตจากวัสดุที่ได้มาจากนาข้าว เช่น ฟาง แกลบ ขี้เถ้าแกลบ หน้าดินผสมจากท้องนา ซึ่งเมล็ดข้าววัชพืชมีคุณสมบัติอยู่ได้นานในสภาพต่าง ๆ
4. การแพร่ไปกับน้ำ ในระบบชลประทาน (ข้าวหาง ข้าวครึ่งเมล็ด) ลอยไปกับน้ำลงสู่แปลงนาได้
5. ติดไปกับอาหารเสริมของเป็ดที่ปล่อยในนาข้าว ส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกที่มีราคาถูก มีสิ่งเจือปน
ลักษณะของข้าววัชพืชที่ทำให้เป็นปัญหาร้ายแรง
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าข้าววัชพืชมีลักษณะต่างๆที่คล้ายหรือแตกต่างกับข้าว ปลูกอย่างไรบ้าง แต่ลักษณะสำคัญที่ทำให้ข้าววัชพืชเป็นวัชพืชร้ายแรง ดังนี้
1. ข้าววัชพืชมีการเจริญเติบโตรวดเร็ว มีความสามารถในการแข่งขันได้ดีกว่าข้าวปลูก ข้าววัชพืชอาจมีความสูงมากกว่าข้าว จึงมีความสามารถในการแก่งแย่งธาตุอาหารและแสงแดดมากกว่าข้าว ข้าววัชพืชที่ต้นสูงจะล้มทับข้าวในระยะออกรวงทำให้ต้นข้าวปลูกเสียหาย
2. ข้าววัชพืชบางชนิดออกดอกเร็วกว่าข้าวปลูกและเมล็ดส่วนใหญ่ร่วงก่อน จึงไม่ถูกเก็บเกี่ยวไปพร้อมกับข้าวปลูก ทำให้มีเมล็ดสะสมอยู่ในแปลงนา ซึ่งจะเพิ่มความหนาแน่นมากขึ้นในฤดูต่อไป
3. เมล็ดข้าววัชพืชที่ร่วงสะสมอยู่ในนามีระยะพักตัวหลากหลาย จึงไม่ได้งอกพร้อมกันทั้งหมด ทำให้ยากต่อการกำจัด
4. เมล็ดส่วนใหญ่ร่วงก่อนเก็บเกี่ยว จึงไม่ถูกเก็บเกี่ยวไปพร้อมกับข้าวปลูก ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์
5. เมล็ดข้าววัชพืชที่มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงปะปนไปกับผลผลิตข้าว ทำให้ถูกตัดราคา
การป้องกันปัญหาข้าววัชพืช
แม้ว่าข้าววัชพืชจะเกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวปลูกกับข้าวป่าก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย ดังนั้นการป้องกันเมล็ดข้าววัชพืชจากแหล่งที่มีการระบาดแล้วไม่ให้เล็ดลอด เข้ามาในแปลงนาที่ยังไม่มีการปลอมปน และเพื่อไม่ให้เผชิญกับปัญหาข้าววัชพืช ดังนั้นชาวนาสามารถทำการป้องกันปัญหาข้าววัชพืชได้โดย
1. การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์มาตรฐานไม่มีข้าววัชพืชปลอมปน
2. ทำความสะอาดเครื่องจักรกลเกษตรก่อนการทำงานในแปลงทุกครั้ง
3. การใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ที่ไม่นำวัสดุจากนาข้าวมาผลิต หรือต้องมั่นใจว่าไม่มีข้าววัชพืชปนมา
4. น้ำชลประทานที่ผ่านท้องที่ที่มีการระบาดของข้าว วัชพืช อาจมีเมล็ดข้าววัชพืชลอยมากับน้ำได้ การใช้ตาข่ายกั้นทางน้ำก็จะป้องกันข้าววัชพืชได้
การกำจัดข้าววัชพืชโดยวิธีเขตกรรม
การผสมผสานหลายวิธีการในทุกขั้นตอนของการทำนาดังต่อไปนี้ จะช่วยแก้ปัญหาข้าววัชพืชได้ไม่ต้องพึ่งพาสารกำจัดวัชพืชหรือสารเคมีใดๆ
1. การกำจัดเมล็ดข้าววัชพืชโดยล่อให้งอกแล้วไถกลบ
การเตรียมดินโดยการไถ พรวน หรือคราดทำเทือก ควรเว้นช่วง 2-4 สัปดาห์ เพื่อเว้นระยะเวลาให้เมล็ดข้าววัชพืชที่ยังเหลืออยู่ในดินได้มีโอกาสพ้นระยะ พักตัวมากขึ้น โดยการมีขั้นตอนดังนี้ ปล่อยให้แปลงแห้งก่อนการเก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 10 วัน หลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้วปล่อยให้แห้งต่ออีก อย่างน้อย 1 สัปดาห์ แล้วเอาน้ำเข้าแปลงพอชื้น เพื่อให้เมล็ดข้าววัชพืชงอก ไถกลบ ปล่อยแปลงในสภาพชื้นต่ออีก 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้เมล็ดข้าววัชพืชที่หลงเหลืออยู่งอกขึ้นมาอีก แล้วไถทิ้ง การล่อให้งอกแล้วไถกลบทำลายในแต่ละครั้งสามารถลดปริมาณข้าววัชพืชลงได้มาก กว่า 50 %
2. เปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว
- วิธีปักดำ การปักดำด้วยมือ ใช้เครื่องจักรตกกล้าปักดำ หลังปลูกให้ขังน้ำทันทีระดับน้ำลึก 3-5 ซม. จะป้องกันการงอกข้าววัชพืชได้ แต่ชาวนาต้องใช้เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ และตกกล้าในแปลงนาที่ไม่มีข้าววัชพืชอยู่ก่อน อย่างไรก็ตามแม้จะใช้วิธีปักดำและการขังน้ำอย่างมีประสิทธิภาพก็อาจยังมี ข้าววัชพืชงอกและเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ทั้งนี้ข้าววัชพืชที่เจริญเติบโตขึ้นมาได้นี้จะอยู่นอกแถวหรือนอกกอของการ ปักดำ ชาวนาจึงพบเห็นข้าววัชพืชได้สะดวกตั้งแต่ในระยะแรก และสามารถถอนกำจัดเสียแต่ต้น
- การปลูกข้าวด้วยวิธีโยนกล้า ปลูกข้าวด้วยวิธีโยนกล้า เป็นการเพาะข้าวจำนวน 3-4 เมล็ดต่อหลุมลงในถาดพลาสติก มีหลุมขนาดเล็ก แต่ละหลุมบรรจุดินประมาณ 2.5 กรัม โดยใช้เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์เพียง 3-4 กิโลกรัม เพาะลงในถาดจำนวน 50-60 ถาด นำไปโยนได้ 1 ไร่ อายุต้นกล้าที่เหมาะสม 12-16 วัน หลังโยนกล้า 1-2 วัน ให้ขังน้ำและเพิ่มระดับน้ำ 5-10 ซม. จะป้องกันการงอกของข้าววัชพืชได้ดี แต่เกษตรกรจะต้องเตรียมแปลงให้สม่ำเสมอ และข้อสำคัญอย่าให้นาขาดน้ำ
3. การตรวจตัดข้าววัชพืช
การตรวจตัดข้าววัชพืชเป็นการลดปัญหาไม่ให้ข้าววัชพืชผลิตเมล็ดสะสมในแปลงนา เพิ่มขึ้น ในระยะแตกกอเริ่มเห็นความแตกต่างค่อนข้างชัดเจน โดยจะสังเกตเห็นข้าววัชพืชส่วนใหญ่มีความสูงมากกว่า ลำต้นและใบมีสีอ่อนกว่าข้าวปลูก ระยะนี้ต้องใช้วิธีถอนต้นข้าววัชพืชทิ้ง พอถึงระยะออกดอกจะเห็นความแตกต่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยข้าววัชพืชส่วนใหญ่จะออกดอกก่อนข้าวปลูก ระยะนี้ต้องใช้วิธีตัดชิดโคนต้นข้าววัชพืช แล้วนำไปทิ้งนอกแปลง เนื่องจากข้าววัชพืชงอกไม่พร้อมกันจึงแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างข้าว ปลูกกับข้าววัชพืช
4. การเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง
การเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งสามารถลดปริมาณเมล็ดข้าววัชพืชที่หลุดร่วงอยู่บนผิวดิน ได้ โดยเป็ด 200 ตัว/ไร่ ปล่อยไว้เป็นเวลา 2 วัน สามารถลดความหนาแน่นข้าววัชพืชได้ถึง 50 %
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.brrd.in.th/rkb/weed/index.php-file=content.php&id=43.htm
1. ข้าวสินเหล็กแบบที่ 1 ต้นข้าวมีกาบใบสีม่วงแดง มีหูใบ(auricle) หรือเขี้ยวกันแมลงและลิ้นใบ(ligule) หรือเยื่อกันน้ำฝนสีขาว เมล็ดข้าวสีเขียว ปลายเมล็ดสีม่วงแดงเข้มถึงดำ
2. ข้าวสินเหล็กแบบที่ 2 ต้นข้าวมีกาบใบสีเขียว มีหูใบ(auricle) หรือเขี้ยวกันแมลงและลิ้นใบ(ligule) หรือเยื่อกันน้ำฝนสีม่วงแดง เมล็ดข้าวสีม่วงแดง ปลายเมล็ดสีม่วงแดงถึงดำ
3. ข้าวที่มีต้นข้าวสีเขียว กาบใบสีเขียว ให้เมล็ดสีเขียวทั้งเมล็ด
ข้าวที่ชาวนาใช้ปลูกทั่วไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa L. ใช้ปลูกในประเทศไทยมากกว่า 100 พันธุ์ เรียกในที่นี้ว่าข้าวปลูก เป็นพันธุ์ข้าวที่ถูกคัดเลือกให้มีลักษณะที่ต้องการเช่นผลผลิตสูง ข้าวสารมีสีขาว ใส คุณภาพหุงต้มนุ่มและหอม ไปจนถึงร่วนแข็ง ต้านทานต่อโรคหรือแมลงที่สำคัญ ข้าวพันธุ์หนึ่งจะมีลักษณะทางการเกษตรต่างๆ เหมือนกันและคงตัว คือในพันธุ์เดียวกันจะมีลักษณะ สีใบ ทรงกอ ความสูง การออกรวง สีเปลือก สีข้าวกล้อง เหมือนกันและคงตัว และทุกพันธุ์จะมีลักษณะสำคัญคือเมล็ดจะสุกแก่ใกล้เคียงกันคือหลังบานดอกแล้ว ประมาณ 28-30 วัน พร้อมที่จะถูกเก็บเกี่ยวและถูกนวดให้หลุดจากรวง คือจะไม่สุกแก่ก่อนเวลาไม่หลุดร่วงเองได้ง่ายๆ และข้าวเปลือกจะไม่มีหางหรือถ้ามีก็จะสั้นมาก
ข้าวป่าเป็นบรรพบุรุษของข้าวที่ใช้ปลูกใน ปัจจุบัน เป็นข้าวอีกชนิดหนึ่งที่มีตามธรรมชาติทั้งในที่ลุ่มลึกและบนที่ดอน ข้าวป่ามีหลายชนิดและที่มีความสำคัญและคาดว่าจะเป็นเชื้อพันธุ์ของข้าว วัชพืชมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryza rufipogon Griff. ข้าวป่าแม้จะสามารถแบ่งเป็นหลายชนิด ในแต่ละชนิดจะมีหลายลักษณะ แต่มีลักษณะสำคัญหลายประการที่มีในข้าวป่าทุกชนิดคือ เมล็ดในรวงเดียวกันสุกแก่ไม่พร้อมกันตั้งแต่ 9-30 วัน เมื่อสุกแก่ก็จะหลุดร่วงได้เอง เมล็ดมีระยะพักตัวหลากหลายตั้งแต่ไม่มีระยะพักตัวไปจนถึงระยะพักตัวหลายปี เมล็ดข้าวเปลือกและข้าวกล้องของข้าวป่าจะมีหลากหลายสี เมล็ดอาจมีหางยาวมากกว่า 10 เท่าตัวของเมล็ด และมีหลายสี
“ข้าววัชพืช” มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า weedy rice เป็นวัชพืชชนิดหนึ่งที่กำลังระบาดอย่างรุนแรงในนาภาคกลางจนถึงภาคเหนือตอนล่าง มีลักษณะเหมือนต้นข้าวจนแยกไม่ออกในระยะกล้า มีชื่อเรียกต่างๆกันไปในแต่ละท้องถิ่นตามลักษณะของข้าววัชพืชที่ปรากฏเช่น ข้าวหาง เนื่องเมล็ดมีหางยาว ข้าวดีด ข้าวเด้ง เนื่องจากเมื่อเมล็ดแก่ และถูกลมพัดหรือคนไปสัมผัส เมล็ดจะร่วง ข้าวลาย เนื่องเมล็ดมีเปลือกลาย ข้าวแดง เนื่องจากเมื่อแกะเมล็ดจะพบว่าเมล็ดข้าวกล้องมีสีแดง ดาวกระจาย เนื่องจากลักษณะรวงจะกางออกและเมื่อเมล็ดแก่จะร่วงและกระจายไปรอบๆ เป็นต้น เคยระบาดในประเทศไทยที่จังหวัดสงขลานครศรีธรรมราช ปราจีนบุรี และพิษณุโลกในปี 2518 ความเสียหายที่จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ผลผลิตลดลงมากกว่า 80% แต่ก็มีการจัดการได้ซึ่งสมัยนั้นโดยการเผาฟาง เปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ การเขตกรรมโดยการไถล่อข้าววัชพืชหลายครั้ง เนื่องจากชาวนายังทำนาปีละ 1 ครั้งเท่านั้น และพบการระบาดรุนแรงอีกครั้งเมื่อปี 2544 ที่จังหวัดกาญจนบุรี จนถึงปัจจุบัน ข้าววัชพืชขยายวงกว้างของการระบาดออกไปเรื่อย ๆ จากการสำรวจข้อมูลการระบาดของข้าววัชพืชในฤดูนาปี 2550 พบการระบาดในพื้นที่นาของประเทศไทยถึง 19.2 ล้านไร่
ความแตกต่างของ ข้าวปลูก ข้าวป่า และข้าววัชพืช
ข้าวปลูก
|
ข้าวป่า
|
ข้าววัชพืช
|
เมล็ดยาว
|
เมล็ดสั้นป้อม
|
เมล็ดสั้นป้อม - เมล็ดยาว
|
ไม่มีหาง
|
หางยาวกว่า 10 เท่าของเมล็ด
|
ไม่มีหาง-หางยาว
|
ออกรวงใกล้เคียงกัน
|
ออกรวงไม่พร้อมกัน
|
ออกรวงไม่พร้อมกัน
|
สุกแก่พร้อมกันทั้งรวง
|
สุกแก่ไม่พร้อมกันทั้งรวง
|
สุกแก่ไม่พร้อมหรือพร้อมกัน
|
ข้าวเต็มเมล็ด> 95 %
|
ข้าวเต็มเมล็ด 5-10 %
|
ข้าวเต็มเมล็ด 50-95 %
|
เมล็ดร่วงยากปานกลาง
|
เมล็ดร่วงง่าย
|
เมล็ดร่วงง่าย-ร่วงยาก
|
เมล็ดพักตัว6-8 สัปดาห์
|
เมล็ดพักตัว 3 เดือน - 10 ปี
|
เมล็ดพักตัว ไม่พักตัว - 10 ปี
|
ข้าววัชพืชเกิดขึ้นได้อย่างไร
จากการศึกษาของหลายหน่วยงานพบว่า ข้าววัชพืชเกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวป่าธรรมชาติ (O. rufipogon L.) กับข้าวปลูก และมีการกระจายตัวของลูกหลานออกเป็นหลายลักษณะ โดยอัตราการผสมข้ามระหว่างข้าวปลูกกับข้าวป่า และระหว่างข้าวปลูกกับข้าววัชพืช ลูกผสมที่กระจายตัวและเจริญแพร่พันธุ์ในแปลงปลูกมีลักษณะส่วนใหญ่ไม่เป็นที่ ต้องการของชาวนา
การจำแนกข้าววัชพืช
สามารถจำแนกตามลักษณะภายนอกของข้าววัชพืชได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
- 1. ข้าวหางหรือข้าวนก
คือข้าววัชพืชที่มีลักษณะเมล็ดข้าวเปลือกสีดำหรือสึน้ำตาลเข้ม มีหางยาว หางอาจจะมีสีแดงหรือขาวในระยะข้าวยังสด เมล็ดร่วงก่อนเก็บเกี่ยว สีของเยื่อหุ้มเมล็ดมีทั้งแดงไปจนถึงขาว
- 2. ข้าวแดงหรือข้าวลาย
คือข้าววัชพืชที่มีลักษณะสีข้าวเปลือกมักมีสีเข้มไปจนถึงลายสีน้ำตาลแดง เมล็ดข้าวเปลือกส่วนใหญ่ไม่มีหาง เมล็ดมีทั้งร่วงและไม่ร่วงก่อนเก็บเกี่ยว แต่สีของเยื่อหุ้มเมล็ดส่วนใหญ่มีสีแดง
- 3. ข้าวดีดหรือข้าวเด้ง
คือข้าววัชพืชที่มีลักษณะร่วงง่ายและร่วงเร็วโดยทยอยร่วงตั้งแต่หลังบานดอก 9 วันเป็นต้นไป เมล็ดข้าวเปลือกส่วนใหญ่มีหางสั้นหรือไม่มีหาง ข้าวเปลือกส่วนใหญ่มีสีเหลืองฟาง สีของเยื่อหุ้มเมล็ดมีทั้งแดงและขาว
สาเหตุการแพร่ระบาดของข้าววัชพืช
การแพร่ระบาดของข้าววัชพืช มาจากสาเหตุ 5 ประการ คือ
1. ติดมากับเมล็ดพันธุ์ข้าวเนื่องจากเกษตรกรใช้พันธุ์ข้าวจากแหล่งไม่มีคุณภาพ ในรอบ 1 ปี ชาวนามีความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณกว่า 1 ล้านตัน แต่หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ได้มาตรฐานได้ไม่เกิน 15 % ของความต้องการของชาวนาเท่านั้น อีก 85 % ชาวนาจำเป็นต้องเสี่ยงในการหาซื้อเมล็ดพันธุ์เองตามร้านค้าและแหล่งผลิต เอกชน ซึ่งอาจจะไม่ได้มาตรฐานและมีเมล็ดข้าววัชพืชติดมาด้วย
2. ติดมากับอุปกรณ์ในการทำนา เครื่องมือเตรียมดิน, เก็บเกี่ยวหรือภาชนะบรรจุข้าว โดยเฉพาะรถเกี่ยวนวดข้าว เมื่อไปเกี่ยวข้าวในแปลงที่มีการระบาดของข้าววัชพืชรุนแรง เมล็ดข้าวที่ติดมากับรถเกี่ยวนวด มีจำนวนประมาณ 2-5 ถัง ซึ่งมีโอกาสที่เมล็ดข้าววัชพืชติดมาด้วย และมาร่วงหล่นในนาแปลงใหม่ที่รถเกี่ยวนวดข้าวลงทำงาน
3. ติดมากับปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ที่ผลิตจากวัสดุที่ได้มาจากนาข้าว เช่น ฟาง แกลบ ขี้เถ้าแกลบ หน้าดินผสมจากท้องนา ซึ่งเมล็ดข้าววัชพืชมีคุณสมบัติอยู่ได้นานในสภาพต่าง ๆ
4. การแพร่ไปกับน้ำ ในระบบชลประทาน (ข้าวหาง ข้าวครึ่งเมล็ด) ลอยไปกับน้ำลงสู่แปลงนาได้
5. ติดไปกับอาหารเสริมของเป็ดที่ปล่อยในนาข้าว ส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกที่มีราคาถูก มีสิ่งเจือปน
ลักษณะของข้าววัชพืชที่ทำให้เป็นปัญหาร้ายแรง
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าข้าววัชพืชมีลักษณะต่างๆที่คล้ายหรือแตกต่างกับข้าว ปลูกอย่างไรบ้าง แต่ลักษณะสำคัญที่ทำให้ข้าววัชพืชเป็นวัชพืชร้ายแรง ดังนี้
1. ข้าววัชพืชมีการเจริญเติบโตรวดเร็ว มีความสามารถในการแข่งขันได้ดีกว่าข้าวปลูก ข้าววัชพืชอาจมีความสูงมากกว่าข้าว จึงมีความสามารถในการแก่งแย่งธาตุอาหารและแสงแดดมากกว่าข้าว ข้าววัชพืชที่ต้นสูงจะล้มทับข้าวในระยะออกรวงทำให้ต้นข้าวปลูกเสียหาย
2. ข้าววัชพืชบางชนิดออกดอกเร็วกว่าข้าวปลูกและเมล็ดส่วนใหญ่ร่วงก่อน จึงไม่ถูกเก็บเกี่ยวไปพร้อมกับข้าวปลูก ทำให้มีเมล็ดสะสมอยู่ในแปลงนา ซึ่งจะเพิ่มความหนาแน่นมากขึ้นในฤดูต่อไป
3. เมล็ดข้าววัชพืชที่ร่วงสะสมอยู่ในนามีระยะพักตัวหลากหลาย จึงไม่ได้งอกพร้อมกันทั้งหมด ทำให้ยากต่อการกำจัด
4. เมล็ดส่วนใหญ่ร่วงก่อนเก็บเกี่ยว จึงไม่ถูกเก็บเกี่ยวไปพร้อมกับข้าวปลูก ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์
5. เมล็ดข้าววัชพืชที่มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงปะปนไปกับผลผลิตข้าว ทำให้ถูกตัดราคา
การป้องกันปัญหาข้าววัชพืช
แม้ว่าข้าววัชพืชจะเกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวปลูกกับข้าวป่าก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย ดังนั้นการป้องกันเมล็ดข้าววัชพืชจากแหล่งที่มีการระบาดแล้วไม่ให้เล็ดลอด เข้ามาในแปลงนาที่ยังไม่มีการปลอมปน และเพื่อไม่ให้เผชิญกับปัญหาข้าววัชพืช ดังนั้นชาวนาสามารถทำการป้องกันปัญหาข้าววัชพืชได้โดย
1. การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์มาตรฐานไม่มีข้าววัชพืชปลอมปน
2. ทำความสะอาดเครื่องจักรกลเกษตรก่อนการทำงานในแปลงทุกครั้ง
3. การใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ที่ไม่นำวัสดุจากนาข้าวมาผลิต หรือต้องมั่นใจว่าไม่มีข้าววัชพืชปนมา
4. น้ำชลประทานที่ผ่านท้องที่ที่มีการระบาดของข้าว วัชพืช อาจมีเมล็ดข้าววัชพืชลอยมากับน้ำได้ การใช้ตาข่ายกั้นทางน้ำก็จะป้องกันข้าววัชพืชได้
การกำจัดข้าววัชพืชโดยวิธีเขตกรรม
การผสมผสานหลายวิธีการในทุกขั้นตอนของการทำนาดังต่อไปนี้ จะช่วยแก้ปัญหาข้าววัชพืชได้ไม่ต้องพึ่งพาสารกำจัดวัชพืชหรือสารเคมีใดๆ
1. การกำจัดเมล็ดข้าววัชพืชโดยล่อให้งอกแล้วไถกลบ
การเตรียมดินโดยการไถ พรวน หรือคราดทำเทือก ควรเว้นช่วง 2-4 สัปดาห์ เพื่อเว้นระยะเวลาให้เมล็ดข้าววัชพืชที่ยังเหลืออยู่ในดินได้มีโอกาสพ้นระยะ พักตัวมากขึ้น โดยการมีขั้นตอนดังนี้ ปล่อยให้แปลงแห้งก่อนการเก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 10 วัน หลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้วปล่อยให้แห้งต่ออีก อย่างน้อย 1 สัปดาห์ แล้วเอาน้ำเข้าแปลงพอชื้น เพื่อให้เมล็ดข้าววัชพืชงอก ไถกลบ ปล่อยแปลงในสภาพชื้นต่ออีก 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้เมล็ดข้าววัชพืชที่หลงเหลืออยู่งอกขึ้นมาอีก แล้วไถทิ้ง การล่อให้งอกแล้วไถกลบทำลายในแต่ละครั้งสามารถลดปริมาณข้าววัชพืชลงได้มาก กว่า 50 %
2. เปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว
- วิธีปักดำ การปักดำด้วยมือ ใช้เครื่องจักรตกกล้าปักดำ หลังปลูกให้ขังน้ำทันทีระดับน้ำลึก 3-5 ซม. จะป้องกันการงอกข้าววัชพืชได้ แต่ชาวนาต้องใช้เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ และตกกล้าในแปลงนาที่ไม่มีข้าววัชพืชอยู่ก่อน อย่างไรก็ตามแม้จะใช้วิธีปักดำและการขังน้ำอย่างมีประสิทธิภาพก็อาจยังมี ข้าววัชพืชงอกและเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ทั้งนี้ข้าววัชพืชที่เจริญเติบโตขึ้นมาได้นี้จะอยู่นอกแถวหรือนอกกอของการ ปักดำ ชาวนาจึงพบเห็นข้าววัชพืชได้สะดวกตั้งแต่ในระยะแรก และสามารถถอนกำจัดเสียแต่ต้น
- การปลูกข้าวด้วยวิธีโยนกล้า ปลูกข้าวด้วยวิธีโยนกล้า เป็นการเพาะข้าวจำนวน 3-4 เมล็ดต่อหลุมลงในถาดพลาสติก มีหลุมขนาดเล็ก แต่ละหลุมบรรจุดินประมาณ 2.5 กรัม โดยใช้เมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์เพียง 3-4 กิโลกรัม เพาะลงในถาดจำนวน 50-60 ถาด นำไปโยนได้ 1 ไร่ อายุต้นกล้าที่เหมาะสม 12-16 วัน หลังโยนกล้า 1-2 วัน ให้ขังน้ำและเพิ่มระดับน้ำ 5-10 ซม. จะป้องกันการงอกของข้าววัชพืชได้ดี แต่เกษตรกรจะต้องเตรียมแปลงให้สม่ำเสมอ และข้อสำคัญอย่าให้นาขาดน้ำ
3. การตรวจตัดข้าววัชพืช
การตรวจตัดข้าววัชพืชเป็นการลดปัญหาไม่ให้ข้าววัชพืชผลิตเมล็ดสะสมในแปลงนา เพิ่มขึ้น ในระยะแตกกอเริ่มเห็นความแตกต่างค่อนข้างชัดเจน โดยจะสังเกตเห็นข้าววัชพืชส่วนใหญ่มีความสูงมากกว่า ลำต้นและใบมีสีอ่อนกว่าข้าวปลูก ระยะนี้ต้องใช้วิธีถอนต้นข้าววัชพืชทิ้ง พอถึงระยะออกดอกจะเห็นความแตกต่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยข้าววัชพืชส่วนใหญ่จะออกดอกก่อนข้าวปลูก ระยะนี้ต้องใช้วิธีตัดชิดโคนต้นข้าววัชพืช แล้วนำไปทิ้งนอกแปลง เนื่องจากข้าววัชพืชงอกไม่พร้อมกันจึงแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างข้าว ปลูกกับข้าววัชพืช
4. การเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง
การเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งสามารถลดปริมาณเมล็ดข้าววัชพืชที่หลุดร่วงอยู่บนผิวดิน ได้ โดยเป็ด 200 ตัว/ไร่ ปล่อยไว้เป็นเวลา 2 วัน สามารถลดความหนาแน่นข้าววัชพืชได้ถึง 50 %
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.brrd.in.th/rkb/weed/index.php-file=content.php&id=43.htm
ข้าวนาเช่าอายุ 9 สัปดาห์
ผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 แล้วสำหรับข้าวนาเช่า เราหว่านเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2556 เริ่มงอกเมื่อวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2556 นับอายุได้ 64 วัน ในการสำรวจแปลงเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 พบว่าข้าวสินเหล็กกำลังตั้งท้องและออกรวงบ้างแล้วสิบกว่ารวง พบรวงข้าวในแปลงที่ 8, 9, 10, 11 และ 12 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราสูบน้ำเข้านาแปลงที่ 5, 6, 7, 8 และ 9 แต่น้ำก็ไม่สามารถขังในแปลงนาได้ พอถึงวันจันทร์น้ำก็แห้งเกือบหมดเนื่องจากเป็นดินทรายและความสูงของพื้นที่ต่างกันมาก น้ำจึงซึมไปเติมแปลงที่อยู่ต่ำกว่า
* ข้าวแปลงที่ 1 ข้าวหอมมะลินิล ต้นข้าวเจริญเติบโตดีแต่สียังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง ข้าวตรงมุมแปลงที่มีต้นมะม่วงงามกว่าบริเวณอื่นสีเขียวเข้ม ต้นสูง ใบกว้าง
* แปลงที่ 2 ข้าวหอมมะลินิล สีของต้นข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง บริเวณที่น้ำขังก็เจริญเติบโตดี สีเขียวเข้ม บริเวณที่ไม่มีน้ำขังสีเขียวอมเหลืองบางต้นยังสูงไม่ถึง 60 เซ็นติเมตร ข้าวที่เราซ่อมก็กำลังแตกกอ
* แปลงที่ 3 ข้าวหอมนิลสุรินทร์ สีของต้นข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง บางบริเวณต้นสูงไม่ถึง 60 เซ็นติเมตร น้ำขังเฉพาะข้างคันนาที่ติดกับแปลงที่ 2 ที่มีน้ำขังซึ่งข้าวตรงนี้จะงามกว่าบริเวณอื่น
* แปลงที่ 4 ข้าวหอมมะลินิล สีของข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง แต่โดยรวมเจริญเติบโตดี บริเวณที่มีหญ้ารกก็ถูกถอนออกแล้วในกิจกรรมผู้ปกครองอาสาเมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2556
* แปลงที่ 5 ข้าวหอมนิลสุรินทร์ เราสูบน้ำเข้าจนเต็มแปลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่น้ำก็ไม่สามารถขังอยู่ในแปลงได้ หญ้าที่รกก็ถูกถอนออกไปเยอะจากด้วยความช่วยเหลือของผู้ปกครองพี่ ๆ ป.3
*แปลงที่ 6 ข้าวดอ แปลงนี้เป็นอีกแปลงที่เติมน้ำเยอะพอสมควรและก็แห้งจนเกือบหมดเช่นกันในวันนี้ สีของต้นข้าวยังเขียวไม่สม่ำเสมอทั้งแปลง ส่วนมากข้าง ๆ คันาที่มีน้ำขังข้าวจะงาม
* แปลงที่ 7 ข้าวสินเหล็ก โดยรวมแล้วข้าวงามดี น้ำยังขังอยู่ สีของต้นข้าวยังเขียวไม่สม่ำเสมอ แต่บริเวณสีเขียวมีมากกว่าเขียวอมเหลือง
* แปลงที่ 8 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้หญ้าขึ้นแซมข้าวเยอะพอสมควรเพราะไม่มีน้ำขัง แต่ข้าวก็เจริญเติบโตดี พบร่องรอยการกัดทำลายต้นข้าวของหนูที่ทำรังในคันนาที่คั่นระหว่างแปลงที่ 8 กับ 9 ซึ่งจำเป็นต้องกำจัดออกเพราะปิดน้ำยากมาก
* แปลงที่ 9 ข้าวสินเหล็ก ข้าวที่เราตัดไปแทงยอดใหม่แล้วยาวกว่าสิบเซ็นติเมตร น้ำก็ขังเฉพาะที่ท้ายแปลงซึ่งข้าวงามกว่าหัวแปลง
* แปลงที่ 10 ข้าวสินเหล็ก ข้าวสีเขียวเข้มสม่ำเสมอทั้งแปลง พบรวงข้าวเยอะกว่าทุกแปลง ข้าวที่เราซ่อมกำลังแตกกอ แต่บริเวณที่ดินเค็มก็ยังไม่งามนักแตกกอช้ากว่าบริเวณอื่นที่ซ่อมพร้อมกัน พบรังนกซึ่งน่าจะเพิ่งเข้ามาทำรัง ยังไม่ทราบชนิดของเจ้าของรัง
* แปลงที่ 11 ข้าวสินเหล็ก บริเวณ 4 ใน 5 ของพื้นที่ที่มีน้ำขังข้าวก็เจริญเติบโตดีส่วนหัวแปลงไม่มีน้ำขังข้าวไม่งาม หญ้าเยอะพอสมควร ข้าวที่ซ่อมแตกกอดี แต่บริเวณที่ดินเค็มก็ไม่ค่อยงาม แตกกอช้า
* แปลงที่ 12 ข้าวสินเหล็ก หัวแปลงกับท้ายแปลงไม่มีน้ำขัง ข้าวไม่งาม หญ้าเยอะ บริเวณตอนกลางของแปลงมีน้ำขังบ้าง ข้าวก็งามดี สีเขียวไม่สม่ำเสมอทั้งแปลง
* แปลงที่ 13 ข้าวสินเหล็ก สีของต้นข้าวยังเขียวไม่เข้มเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วข้าวงาม หญ้าไม่ค่อยเยอะจะทยอยถอนออกเรื่อย ๆ มีน้ำขังบ้างตรงมุมแปลง
* แปลงที่ 14 ข้าวสินเหล็ก หญ้าที่เคยรกเบียดเบียนต้นข้าวถูกถอนออกมากแล้ว แต่แปลงนี้ไม่มีน้ำขังเพราะพื้นดินสูงกว่าแปลงที่ 15 ที่อยู่ติดกันมากน้ำจึงซึมลงไปแปลงที่ต่ำกว่า ข้าวก็ไม่งามเท่าที่ควร
* แปลงที่ 15 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้ดินเค็มแม้จะมีน้ำขังข้าวก็ไม่งามเท่าที่ควร ต้นยังเตี้ย แตกกอน้อย แต่ข้าวที่ซ่อมบางบริเวณต้นสีเขียวเข้ม แตกกอดี
* แปลงที่ 16 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้บริเวณที่ไม่มีน้ำขังข้าวไม่งามเพราะดินเค็ม ข้าวเกิดไม่ดีและซ่อมข้าวไม่ได้ด้วย ส่วนบริเวณที่มีน้ำขังข้าวก็ไม่งามเท่าที่ควร
* แปลงที่ 17 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้หญ้ายังเยอะอยู่คงจะถอนไม่ทัน จึงจะใช้วิธีตัดแบบแปลงที่ 9 เพราะช่วงนี้ฝนตกบ้าง ข้าวคงแทงยอดใหม่ได้ดี
* แปลงที่ 18 ข้าวบริเวณหัวแปลงไม่งามเท่าท้ายแปลงที่มีน้ำขัง ข้าวตรงท้ายแลงสีเขียวเข้มแตกกอดี เป็นอีกแปลงที่หญ้าเยอะตรงหัวแปลงแต่ไม่เยอะเท่าแปลงที่ 17 ซึ่งจะทำการตัดพร้อมกัน
เก็บข้อมูลเมื่อวันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2556
* ข้าวแปลงที่ 1 ข้าวหอมมะลินิล ต้นข้าวเจริญเติบโตดีแต่สียังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง ข้าวตรงมุมแปลงที่มีต้นมะม่วงงามกว่าบริเวณอื่นสีเขียวเข้ม ต้นสูง ใบกว้าง
* แปลงที่ 2 ข้าวหอมมะลินิล สีของต้นข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง บริเวณที่น้ำขังก็เจริญเติบโตดี สีเขียวเข้ม บริเวณที่ไม่มีน้ำขังสีเขียวอมเหลืองบางต้นยังสูงไม่ถึง 60 เซ็นติเมตร ข้าวที่เราซ่อมก็กำลังแตกกอ
* แปลงที่ 3 ข้าวหอมนิลสุรินทร์ สีของต้นข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง บางบริเวณต้นสูงไม่ถึง 60 เซ็นติเมตร น้ำขังเฉพาะข้างคันนาที่ติดกับแปลงที่ 2 ที่มีน้ำขังซึ่งข้าวตรงนี้จะงามกว่าบริเวณอื่น
* แปลงที่ 4 ข้าวหอมมะลินิล สีของข้าวยังไม่เขียวสม่ำเสมอทั้งแปลง แต่โดยรวมเจริญเติบโตดี บริเวณที่มีหญ้ารกก็ถูกถอนออกแล้วในกิจกรรมผู้ปกครองอาสาเมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2556
* แปลงที่ 5 ข้าวหอมนิลสุรินทร์ เราสูบน้ำเข้าจนเต็มแปลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่น้ำก็ไม่สามารถขังอยู่ในแปลงได้ หญ้าที่รกก็ถูกถอนออกไปเยอะจากด้วยความช่วยเหลือของผู้ปกครองพี่ ๆ ป.3
*แปลงที่ 6 ข้าวดอ แปลงนี้เป็นอีกแปลงที่เติมน้ำเยอะพอสมควรและก็แห้งจนเกือบหมดเช่นกันในวันนี้ สีของต้นข้าวยังเขียวไม่สม่ำเสมอทั้งแปลง ส่วนมากข้าง ๆ คันาที่มีน้ำขังข้าวจะงาม
* แปลงที่ 8 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้หญ้าขึ้นแซมข้าวเยอะพอสมควรเพราะไม่มีน้ำขัง แต่ข้าวก็เจริญเติบโตดี พบร่องรอยการกัดทำลายต้นข้าวของหนูที่ทำรังในคันนาที่คั่นระหว่างแปลงที่ 8 กับ 9 ซึ่งจำเป็นต้องกำจัดออกเพราะปิดน้ำยากมาก
* แปลงที่ 9 ข้าวสินเหล็ก ข้าวที่เราตัดไปแทงยอดใหม่แล้วยาวกว่าสิบเซ็นติเมตร น้ำก็ขังเฉพาะที่ท้ายแปลงซึ่งข้าวงามกว่าหัวแปลง
* แปลงที่ 10 ข้าวสินเหล็ก ข้าวสีเขียวเข้มสม่ำเสมอทั้งแปลง พบรวงข้าวเยอะกว่าทุกแปลง ข้าวที่เราซ่อมกำลังแตกกอ แต่บริเวณที่ดินเค็มก็ยังไม่งามนักแตกกอช้ากว่าบริเวณอื่นที่ซ่อมพร้อมกัน พบรังนกซึ่งน่าจะเพิ่งเข้ามาทำรัง ยังไม่ทราบชนิดของเจ้าของรัง
* แปลงที่ 12 ข้าวสินเหล็ก หัวแปลงกับท้ายแปลงไม่มีน้ำขัง ข้าวไม่งาม หญ้าเยอะ บริเวณตอนกลางของแปลงมีน้ำขังบ้าง ข้าวก็งามดี สีเขียวไม่สม่ำเสมอทั้งแปลง
* แปลงที่ 13 ข้าวสินเหล็ก สีของต้นข้าวยังเขียวไม่เข้มเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วข้าวงาม หญ้าไม่ค่อยเยอะจะทยอยถอนออกเรื่อย ๆ มีน้ำขังบ้างตรงมุมแปลง
* แปลงที่ 14 ข้าวสินเหล็ก หญ้าที่เคยรกเบียดเบียนต้นข้าวถูกถอนออกมากแล้ว แต่แปลงนี้ไม่มีน้ำขังเพราะพื้นดินสูงกว่าแปลงที่ 15 ที่อยู่ติดกันมากน้ำจึงซึมลงไปแปลงที่ต่ำกว่า ข้าวก็ไม่งามเท่าที่ควร
* แปลงที่ 15 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้ดินเค็มแม้จะมีน้ำขังข้าวก็ไม่งามเท่าที่ควร ต้นยังเตี้ย แตกกอน้อย แต่ข้าวที่ซ่อมบางบริเวณต้นสีเขียวเข้ม แตกกอดี
* แปลงที่ 16 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้บริเวณที่ไม่มีน้ำขังข้าวไม่งามเพราะดินเค็ม ข้าวเกิดไม่ดีและซ่อมข้าวไม่ได้ด้วย ส่วนบริเวณที่มีน้ำขังข้าวก็ไม่งามเท่าที่ควร
* แปลงที่ 17 ข้าวสินเหล็ก แปลงนี้หญ้ายังเยอะอยู่คงจะถอนไม่ทัน จึงจะใช้วิธีตัดแบบแปลงที่ 9 เพราะช่วงนี้ฝนตกบ้าง ข้าวคงแทงยอดใหม่ได้ดี
* แปลงที่ 18 ข้าวบริเวณหัวแปลงไม่งามเท่าท้ายแปลงที่มีน้ำขัง ข้าวตรงท้ายแลงสีเขียวเข้มแตกกอดี เป็นอีกแปลงที่หญ้าเยอะตรงหัวแปลงแต่ไม่เยอะเท่าแปลงที่ 17 ซึ่งจะทำการตัดพร้อมกัน
เก็บข้อมูลเมื่อวันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2556
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)